นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ2558 ที่กำลังจะ สิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้ คาดว่า กรมจะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการที่ได้รับมอบหมายประมาณ 2 แสนล้านบาท แม้ว่า ผลการจัดเก็บรายได้ดังกล่าวจะต่ำกว่าประมาณการที่ได้รับมอบหมายคือ 1.975 ล้านล้านบาทก็ตาม แต่ผลจัดเก็บรายได้ดังกล่าว กรมคาดว่า ก็ยังสูงกว่าปีงบประมาณ2557 ที่จัดเก็บได้จริง 1.725 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และการอุดช่องโหว่ภาษีที่รั่วไหล ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศชะลอตัว
“ในปีงบประมาณ2559 ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ กรมได้รับมอบหมายจัดเก็บรายได้ที่ 1.78 ล้านบาทต่ำกว่าเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ2558 เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน จากเดิมที่กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ล่าสุดคาดว่า จะขยายได้เพียง 3% เท่านั้น”นายประสงค์ กล่าว
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ของปีงบประมาณ2558 ที่หลุดเป้าหมายถึง 2 แสนล้านบาท มีปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่ขณะนี้ยังอยู่ที่ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมเคยคาดว่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงปลายปี และช่วงที่ประเมินเป้าหมายภาษีนั้นราคาน้ำมันดิบยังอยู่ที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กรมเคยประเมินว่าจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ 1.6 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้การจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) น้ำมันภายในประเทศหายไป 1.1 แสนล้านบาท และยังส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีปิโตรเลียม ที่กรมเก็บจากการขุดเจาะน้ำมันภายในประเทศด้วย เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงจะไม่คุ้มทุนในการขุดเจาะน้ำมันอีกต่อไป ส่งผลให้รายได้จากส่วนนี้ หายไปอีกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลการเร่งจัดเบิกจ่ายของรัฐบาลส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษี โดยพิจารณาได้จากยอดการจัดเก็บภาษีแวต ภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 7% รายได้จากค่าอากรแสตมป์ มีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐกับเอกชน และรัฐวิสาหกิจกับเอกชนมีการทำสัญญาว่าจ้างทำของระหว่างกันมากขึ้น ทำให้รายได้จากการจัดเก็บค่าอากรแสตป์ของกรมสูงขึ้นตามไปด้วย
